วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตำนานเพลงร๊อค Nirvana


ประวัติของวง Nirvana 

Nirvana เป็นวงที่ทำเพลงแนวกรันจ์ และอัลเทอร์เนทีฟ ร็อค เริ่มตั้งวงเมื่อปี 1987 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และยุบวงในปี 1994 ก่อนจะมี Nirvana เพลงอัลเทอร์เนทีฟ จะอยู่ในมุมเพลงประเภทพิเศษ ตามร้านขายแผ่นเสียง ค่ายเพลงใหญ่ ๆ ไม่ค่อยให้ความสำคัญ กับเพลงแนวนี้มากนัก แต่เมื่อ Nirvana ออกอัลบั้ม Nevermind ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 2 ในปี 1991 ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เปลี่ยนไป เพราะ Nirvana ทำให้แนวเพลงพั้งค์ โพสท์พั้งค์ และอินดี้ร็อคได้รับความนิยมในตลาดหลักของอเมริกา อย่างที่ไม่เคยมีวงใดทำได้มาก่อน แม้เพลงของ Nirvana น่าจะฟังดูคล้ายส่วนผสม ระหว่าง เพลงของ Black Sabbath กับ Cheap Trick แต่เพลงของ Nirvana เป็นอินดี้ร็อคขนานแท้ Nirvana นำเพลงของ Vaselines มาร้อง และยังปลุกกระแส นิวเวฟด้วย เคิร์ท โคเบน หัวหน้าวง Nirvana ผลักดัน วงดนตรีที่เขาชื่นชอบอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรี แนวอาร์ตพั้งค์อย่าง Raincoats หรือวงแนวฮาร์ดคอร์ อย่าง The Meat Puppets จนดูเหมือนว่า เพลงในดวงใจของเคิร์ท สำคัญกว่าเพลงของตัวเขาเอง เนื่องจาก Nirvana มีพื้นฐานจากแนวอินดี้ แต่ชอบเพลงพ็อพ แนวเพลงของวง ที่ออกมาระหว่าง การเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จึงแปรผันไปตามเวลา จนกระทั่ง Nirvana กลายเป็นวงแอนตี้ร็อค ที่อื้อฉาวที่สุดวงหนึ่ง ในประวัติศาสตร์วงการเพลง ในช่วงที่ Nirvana ออกอัลบั้ม In Utero ชะตากรรมของวงและ เคิร์ท โคเบน ก็ถึงเวลาปิดฉากลง เคิร์ทติดยาเสพติด และมีอาการซึมเศร้ารุนแรง เขากลายมาเป็นคนที่ทำลายตัวเอง และมีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตาย แม้ผู้จัดการ และบริษัทแผ่นเสียงต้นสังกัด จะพยายามปิดข่าวนี้ แต่ในที่สุด วันที่ 8 เมษายน 1994 ก็พบศพเคิร์ทที่เสียชีวิต เพราะยิงตัวตาย เขาอาจไม่ได้รับรู้ถึงความสำเร็จ ของวงดนตรีที่เขาตั้งมา แต่มรดกทางดนตรีที่ Nirvana สร้างไว้ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพล ต่อวงการเพลงมากที่สุดสิ่งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ เคิร์ท โคเบน (ร้องนำ, กีต้าร์) พบกับคริส โนโวเซลิก (มือเบส) ในปี 1985 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้เมืองเล็ก ๆ ห่างจากซีแอ็ทเทิล 100 ไมล์ ภูมิหลังของ คริสราบเรียบกว่าเคิร์ท เพราะตอนอายุ 8 ปีเคิร์ทต้องเผชิญกับปัญหาจากการหย่าร้าง ของบิดามารดา หลังจากทั้งคู่หย่ากันแล้ว เคิร์ทก็ต้องเวียนไปอยู่ตามบ้านญาติ เขาชอบเพลงของ The Beatles จากนั้นก็หันมาชอบเพลง เฮฟวี่ เมทัล ในที่สุดเคิร์ท ก็หลงรักเพลง ฮาร์ดคอร์ พั้งค์ ทั้งยังได้พบกับวงThe Melvins ซึ่งเป็นวงเฮฟวี่พั้งค์อันเดอร์กราวด์ ต่อมา เคิร์ทก็เริ่มเล่นดนตรีให้วงพั้งค์อย่าง Fecal Matter โดยส่วนใหญ่จะไปกับเดล โครเวอร์ มือเบสของ The Melvins บัซซ์ ออสบอร์น หัวหน้าวง The Melvins แนะนำให้เคิร์ท รู้จักกับคริส โนโวเซลิก ซึ่งสนใจดนตรีพั้งค์เช่นกัน การสนใจแนวเพลงพั้งค์ ทำให้ทั้งเคิร์ทกับคริสรู้สึกแปลกแยก จากคนส่วนใหญ่ในอาเบอร์ดีน ที่เป็นคนงาน ทั้งคู่จึงตัดสินใจ ตั้งวงชื่อว่า The Stiff Woodies โดยเคิร์ท เป็นมือกลอง คริสเป็นมือเบส ส่วนตำแหน่งกีต้าร์ กับร้องนำนั้น มีหลายคนสลับสับเปลี่ยนกันไป วงของเคิร์ทเปลี่ยนชื่อเร็วพอ ๆ กับเปลี่ยนมือกีต้าร์ จนในที่สุดเคิร์ทก็เล่นกีต้าร์และร้องเอง หลังจากเปลี่ยนชื่อวงเป็น Skid Row วงของเคิร์ท ก็มีสมาชิกทั้งหมดเป็น 3 คน ผู้ที่มาเพิ่มคือ แอรอน เบิร์คฮาร์ท มือกลอง แต่พอถึงปี 1986 แอรอนก็ออกจากวง ผู้ที่มาแทนคือแช้ด แชนนิ่ง ต่อมาในปี 1987 Skid Row ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Nirvana Nirvana เริ่มจากเล่นดนตรี ตามงานเลี้ยง ในเมืองโอลิมเปีย จนมีแฟนเพลงกลุ่มใหญ่พอควร ในปี 1987 Nirvana ทำเดโมเทป 10 ม้วน กับโปรดิวเซอร์ แจ็ค เอ็นดิโน่ ซึ่งได้นำเทปตัวอย่างไปเสนอ โจนาธาน โพนแมน หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัทแผ่นเสียงอิสระ ในซีแอ็ทเทิล ชื่อ Sub Pop ในที่สุดNirvana ก็ได้เซ็นสัญญาบริษัท และเดือนธันวาคม ปี 1988 Nirvana ก็ออกซิงเกิ้ลแรก เป็นเพลงเก่าของวง Shocking Blue ชื่อ Love Buzz ค่าย Sub Pop วางแผนการตลาด โดยให้สร้างภาพให้ Nirvana เป็นวงหลังเขาจากเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งทำให้เคิร์ท กับคริสไม่พอใจ เพลง Love Buzz ได้รับการยอมรับพอสมควร แต่ผลงานที่ทำให้ Nirvana เป็นที่รู้จักคืออัลบั้ม Bleach ซึ่งใช้เงินในการบันทึกเสียงกว่า 600 เหรียญเท่านั้น แต่เมื่อออกขายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1989 Bleach ก็ค่อย ๆ ฮิตตามสถานีวิทยุมหาวิทยาลัย เนื่องจาก Nirvana ออกทัวร์คอนเสิร์ตสม่ำเสมอ แม้ในปกอัลบั้ม Bleach จะระบุชื่อมือกีต้าร์คนที่ 2 ไว้ว่าเป็น เจสัน เอฟเวอร์แมน แต่เขาไม่ได้ร่วมบันทึกเสียงด้วยเลย เจสัน เพียงแต่ออกทัวร์คอนเสิร์ตเท่านั้น ก่อนจะออกจากวงไปในช่วงปลายปี เพื่อไปอยู่กับวง Soundgarden และ Mindfunk อัลบั้ม Bleach ขายได้ถึง 35,000 ชุด และ Nirvana ก็ได้รับความนิยมจากสถานีวิทยุตามมหาวิทยาลัย และ นิตยสารดนตรีในอังกฤษ นอกจากนี้ วง Sonic Youth Mudhoney และ Dinosaur Jr. ก็ชื่นชม Nirvana ด้วย ทำให้ค่ายเทปใหญ่ ๆ หันมาสนใจ Nirvana ในช่วงฤดูร้อน Nirvana ออกซิงเกิ้ล Sliver กับ Dive ซึ่งมีแดน ปีเตอร์สจากวง Mudhoneyมาเล่นกลองให้ ส่วนโปรดิวเซอร์คือ บุช วิค นอกจากจะบันทึกเสียง เพลงทั้งสองกับวิคแล้ว Nirvanaยังทำเดโมเทปอีก 6 เพลงกับวิคด้วย เดโมชุดนี้ ไปถึงมือค่ายยักษ์ซึ่งแย่งกัน เซ็นสัญญากับ Nirvana ปลายฤดูร้อน เดฟ โกรลห์ อดีตสมาชิกวง Scream วงแนวฮาร์ดคอร์จากวอชิงตันดีซี ก็เข้ามาเป็นมือกลองของ Nirvana หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับค่ายดีจีซีด้วยค่าตัว 287,000 เหรียญ Nirvana บันทึกเสียงอัลบั้มที่ 2 กับวิค จนเสร็จในฤดูร้อนปีนั้นเอง ช่วงปลายฤดูร้อน หลังจาก Nirvana ออกทัวร์คอนเสิร์ตกับ Sonic Youth พวกเขา ออกอัลบั้มชุดที่ 2 ในเดือนกันยายน ชื่อ Nevermind หลังออกอัลบั้ม Nirvana ก็ออกทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐทันที ค่ายดีจีซี ต้นสังกัดของ Nirvana ตั้งเป้าว่า Nevermind จะขายได้ประมาณ 100,000 ชุด แต่ปรากฏว่า Nevermind ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขายชุดแรกจำนวน 50,000 แผ่นได้ในเวลาไม่นาน จนขาดตลาดทั่วอเมริกา พลงที่ช่วยให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จคือ Smells Like Teen Spirit เพลงร็อค 4 คอร์ดที่มีการนำ มิวสิค วีดิโอ ออกกระหน่ำฉายทางเอ็มทีวี ต้นปี 1992 เพลง Smells Like Teen Spirit ก็ขึ้นถึงท็อป 10 ในอเมริกา และ Nevermind ก็ทำให้อัลบั้ม Dangerous ที่สร้างชื่อให้ ไมเคิล แจ็คสัน อีกครั้ง ต้องตกจากอันดับที่ 1 นอกจากนี้ Nevermind ยังติดท็อป 10 ที่อังกฤษหลังจากนั้นไม่นานด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ Nevermind ก็ได้แผ่นเสียงทองคำขาวถึงสามแผ่น ความสำเร็จของ Nirvana เป็นเรื่องน่าประหลาดใจในวงการเพลง พวกเขาเองก็แปลกใจเช่นกัน และเห็นได้ชัดว่าสมาชิกของ Nirvana ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี กับความสำเร็จที่ได้มา